วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความสุขทำได้อย่างไร





ความสุข ทำอย่างไรให้มีความสุข
 
 
      ความสุขเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็แสวงหา ทราบไหมคนทั่วโลกและคนไทยมีความสุขกันอย่างไร องค์การสหประชาชาติเคยสำรวจว่า 156 ประเทศนี่เขามีความสุขกันอย่างไร มีการจัดลำดับด้วย คนไทยจัดว่าอยู่อันดับที่ 52 โดยเราเป็นอันดับที่ 3 ในภูมิภาคอาเซียน ส่วนปัจจัยที่ทำให้คนมีความสุข ความร่ำรวยและเงินทองเป็นเพียงหนึ่งปัจจัยเท่านั้นเอง

   ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาแล้วก็ผู้นำประเทศทุก ๆ ประเทศทั่วโลกนี่ เขาก็พยายามที่จะสร้าง ความสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ถึงกับมีการจัดอันดับเลยว่าประเทศไหนมีความสุขมากน้อยซึ่งความจริงแล้วปัจจัยของความสุขนี่ แต่ละประเทศเขาก็จะมีเกณฑ์วัดว่าเป็นอย่างไรบ้าง เช่น การมีรายได้ การมีงานทำ มีความมั่นคงในอาชีพ การมีความสัมพันธ์ที่ดี ในครอบครัวแล้วก็ ในหมู่เพื่อนร่วมงาน แล้วก็การมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน การมีสุขภาพกายที่ดี การมีสุขภาพจิตที่ดีแล้วก็ความสัมพันธ์ในครอบครัว การศึกษา ถือว่าเป็น ปัจจัยของความสุขของคนเหมือนกันแล้วก็ความเท่าเทียมกัน

     ในที่นี้หมายถึงความเท่าเทียมกันในสังคม แล้วก็เท่าเทียมกันในเพศชาย กับเพศหญิง ซึ่งบางสังคมอาจจะยังมีความเหลื่อมล้ำตรงนี้อยู่ เป็นต้น เสรีภาพทางการเมืองแล้วก็ความเข้มแข็งทางเครือข่ายสังคม ตลอดจนการไม่มีคอรัปชั่น อันนี้เป็นสิ่งที่แต่ละประเทศ มองว่าอันนี้คือเกณฑ์ความสุขนั่นเอง

     บางคนพยายามแสวงหาความสุข แต่ว่าหาเท่าไรมันก็ไม่ตอบโจทย์ คือหาไม่เจอนั่นเอง เพราะว่าความจริงแล้ว ความสุขมันอยู่ที่ตัวเรามันสร้างมาจากข้างในตัวเราเอง ไม่ใช่รอจากคนอื่นมาหยิบยื่น  ถ้าเราว่ากันจริง ๆ แล้วความสุข คืออะไร จริง ๆ มันคือความทุกข์ที่น้อยลง ใช่ไหม

     เพราะฉะนั้นเวลาเราจะสร้างความสุข ก็คือว่า เราก็ลดความทุกข์ ทีนี้ความทุกข์มันเกิดจากกายวาจาใจ แล้วก็มันอยู่ที่ใจนั่นเอง ที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ต่าง ๆ ที่เข้ามาต่าง ๆ นั้น เราจะปรับตัวอยู่ตรงนั้นได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงอยู่ที่ตัวเรา เรารู้จักปล่อยวางดีแค่ไหน เราพอใจในสิ่งที่มีมั๊ย เราเป็นคนคิดในทางบวกหรือทางลบ แล้วเราคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ตัวเองหรือเปล่า อันนี้เป็นต้น
 
      เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะมีทุกข์ประจำ ทุกจร เช่นทุกข์พลัดพราก ทุกข์สูญเสีย ทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บก็ตาม บางทีการเจ็บป่วยกายมันเป็นทุกข์ทางกาย แต่ถ้ามันเข้ามาถึงใจ ถ้าเรา สัมมาอะระหัง ไปตลอดเวลาทุกข์กายเข้าไม่ถึงทุกข์ใจเมื่อไหร่ ใจยังเป็นความสุขได้เลย เพราะฉะนั้น ความทุกข์ทั้งหลาย ถ้าเกิดว่าเราไปปรับที่ตัวใจ ต้นแหล่งของการสร้างความสุข ก็เหมือนกับว่าถ้าความทุกข์น้อยชีวิตก็มีความสุข  

     ถ้าเรามองไปที่ชาวโลกว่าชาวโลกเขาก็พยายามที่จะสอนให้คนพยายามสร้างความสุขโดยตัวเอง คือเขาก็รู้ว่าการไปหาความสุขที่อื่นคงไม่เจอเหมือนกัน แต่บางครั้งมันก็เฉียด ๆ ก็ใกล้ ๆ มาก  เรามาดูกันว่าเขามองกันอย่างไรบ้าง ชาวโลกเขาพูดเรื่องความสุขว่าทำอย่างไรถึงจะสร้างความสุขได้ ข้อแรกเลย อยู่กับคนที่ทำให้เรายิ้มได้เราก็จะยิ้มไปด้วย เพราะว่ามันเหมือนธาตุอายตนะ ดูดกันได้ดีมันก็ไปได้ดี

    ข้อ 2 คือ เราจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรมที่เรายึดถือเป็นหลักประจำใจอย่างเช่นเรื่องของความเมตตา กรุณา ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรมแบบนี้ ถ้าใครที่มีเรียกว่าหลักธรรมะประจำใจ ชีวิตก็จะมีความสุขทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราไม่ตกต่ำ เกิดความรู้สึกรักตัวเอง

     ข้อ 3 ดังเช่นหลวงพ่อทัตตชีโว ท่านว่าไว้ เรากราบตัวเองได้ไหม ถ้าเราจะทำให้ดีคือ ต้องทำให้ขนาดที่เรายินดีที่จะกราบตัวเองได้ ข้อสามคือ ยอมรับสิ่งที่ดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอย่าไปผลักไสสิ่งที่มันเป็นเรื่องดี ๆ ที่จะเข้ามาหาตัวเรา แม้เรื่องดี ๆ อาจจะไม่สมบูรณ์แบบ 100% เราก็สามารถมีความสุขได้ แล้วเดี๋ยวเรื่องดี ๆ ต่อไปจะมากขึ้นอีก มันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ คิดอย่างนี้แล้วกัน

     ข้อ 4 มีเป้าหมายในชีวิต
 
 

     ข้อ 5 ทำในสิ่งที่เรารัก ถ้าเราทำในสิ่งที่ตัวเองชอบตัวเองรักเราก็จะมีความสุขกับสิ่งนั้น แต่ถ้าเกิดว่าเราต้องทำงานในสิ่งที่เราไม่ได้ถนัดคิดว่าตัวเองไม่ชอบเลยไม่รักเลย ทำอย่างไร จงรักมันต้องสร้างความคุ้นเคย สร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง มองให้เห็นประโยชน์ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเกิดประโยชน์อะไร เราทำไปเพื่ออะไร บางคนบอกว่า อ๋อ ทำไปเพื่อที่จะได้สั่งสมบุญ ทำงานไปจะได้มีปัจจัยมามากขึ้น จะได้เอาไปทำบุญ อันนี้ทำให้เราเกิด ความรักในงาน ก็คือเราทำในสิ่งที่เรารักแล้ว ทำในสิ่งที่เป็นเป้าหมายของเรานั่นเอง

     ข้อ 6 ทำตามใจในสิ่งที่เราอยากจะได้ หรืออยากจะทำนะครับ ในแง่นี้หมายถึงว่าทำแล้วเราสบายใจ ก็ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
 
     ข้อ 7 เรามองถึงความสำเร็จ เราผลักดันตนเอง ไม่ใช่กดดันผู้อื่น ไม่อย่างนั้นจะทุกข์กันหมดเลย
 
     ข้อ 8 อย่าเปรียบตัวเองกับผู้อื่น ชีวิตไปเปรียบกับคนอื่น เพราะว่าเราเกิดมาอย่างหนึ่ง เรามีบุญบาป ที่ส่งผลมาอย่างหนึ่งแล้วก็แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปเปรียบเทียบผู้อื่น จริง ๆ แล้วข้อนี้สำคัญมาก เพราะจริง ๆ เราออกจากบ้านเราก็รู้สึกว่าเราดีพอเราสวยพอเราเก่งพอ พอไปเจอคนที่ดีกว่านั้น เราหดหู่ขึ้นมาทันทีเลย ถ้าเราเปรียบเทียบคนอื่น ความทุกข์มันจะมาเยือนอย่างเร็ว การเปรียบเทียบมันเป็นหนทางลัดไปสู่ทุกข์
 
     ข้อ 9 คือ เต็มใจรับการเปลี่ยนแปลง
 
     ข้อ 10 พอใจกับชีวิตง่าย ๆ คิดบวกอยู่เสมอ
 
     ข้อ 11 ทำดีกับทุกคน ก็เหมือนกับการเป็นผู้ให้ เวลาเราทำดีกับใคร ชีวิตก็มีความสุขมากขึ้น
 
     ข้อ 12 รู้จักพอเพียง ก็หมายถึงว่ามีการใช้จ่ายที่เหมาะสมนั่นเอง คือเหมาะสมกับกำลังที่เรามี จะได้ไม่เป็นหนี้เพราะเป็นหนี้ทุกข์ถนัดเลย
 
     ข้อ 13 คิดใหม่ ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย  
 
     ข้อ 14 อย่าให้เรื่องเล็กน้อยมากวนใจ เดี๋ยวเจอคนขับรถแย่ ๆ ขับรถตัดหน้า อะไรแบบนี้ ก็อย่าไปใจกระเพื่อม คือให้ดึงจิตออกไปว่ามันเป็นแค่รถมันวิ่งผ่านหน้าเรา แค่นี้มันก็จบ อ๋อมันวิ่งผ่านหน้าเราเร็วไปนิด แค่นี้ก็พอแล้ว  
 
     ข้อ 15 เลิกทำตัวจำเจ ตื่นสายทุกวัน ลองเปลี่ยนใหม่สิ วันนี้ลองตื่นเช้ามืด ตีสี่ ตีห้า มานั่งสวดมนต์นั่งสมาธิ(Meditation)ดู ไปดูดอกไม้ดูพระอาทิตย์ขึ้น
 
     ข้อ 16 ใช้สีเขียวบำรุงอารมณ์ด้วยสีเขียว หมายถึง ปลูกต้นไม้ หรือซื้อแจกัน กระถางดอกไม้ ไปปลูกในสวน
 
     ข้อ 17 ออกไปเดินเล่นหรือออกไปออกกำลังกายเบา ๆ จริง ๆ ร่างกายกับจิตใจมันเชื่อมโยงกัน ถ้าเรากายไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย จิตใจก็เหมือนกับว่าล้าไปด้วย










วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความสุขที่แท้จริงคืออะไร

ความสุขที่แท้จริงคืออะไร



ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

          ทุกคนต้องการความสุขที่แท้จริง  เพราะเหตุว่าความสุขในแต่ละวันมีอยู่เพียงเล็กน้อย 
เป็นความสุข
ที่ชั่วคราวแต่ละขณะก็หมดไปแล้ว  เห็นสิ่งที่พอใจทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ 
 เพียงเล็กน้อยก็หมดไปแล้ว  เช่น  เห็นดอกไม้สวย ๆ  ก็มีความสุขเพียงขณะเดียวก็หมดไปแล้ว  
เห็นอาหารวางอยู่บนโต๊ะ  ก็มีความสุขที่จะได้รับประทาน และความสุขเล็กน้อยที่จะได้รับประทานก็หมดไป  
แต่ก็ยังไม่รู้ว่า  ยังมีความสุขที่มากกว่านั้นอีก แต่ว่ายังไม่เกิด

          เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวัน  ก็จะเห็นได้ว่า มีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ชั่วขณะซึ่งสั้นมาก  แล้วก็ดับไป

  นั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง  เพราะเหตุว่าเป็นความสุขที่ชั่วคราว  ที่ปรากฏแล้วก็หมดไป   ยังมีความสุขยิ่ง
กว่านี้  ซึ่งเป็นความสุขที่แท้จริง  แต่ก็ยังไม่รู้ว่า  ความสุขแท้จริงนั้นคืออะไร  ก็ไม่สามารถจะพบ
ความสุขนั้นได้  ต้องรู้จักสิ่งที่มีจริง ๆ จึงจะรู้ว่าที่ชื่อว่า ความสุขแท้จริงนั้นคืออะไร  เพราะฉะนั้นชีวิตจึงเต็ม
ไปด้วยความหวัง  แต่ว่าความหวังจะเป็นจริงหรือว่าจะสมหวัง  ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร  
อย่างเช่น  ตักอาหารมาแล้วเปรี้ยวไป  หวังว่าอาหารจะอร่อย แต่รสเปลี่ยนไป  ไม่ใช่ความสุขเลย  
เพราะว่าไม่สมหวัง  ความสุขก็หมดไปเพราะเหตุว่าไม่สมหวัง

         เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า  สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ  ถ้าได้เข้าใจความจริงว่า   ความสุขจริง ๆ  ต้องเป็นสุขที่

เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี  เพราะว่าสิ่งนั้นกำลังมี  สิ่งอื่นไม่มี เช่น ในขณะได้ยินเสียง  เสียงมีปรากฏ
เดี๋ยวนี้  เสียงมีจริง ๆ  ปรากฏว่ามีชั่วคราวแล้วก็ดับไป  ในขณะมีเสียง  อย่างอื่นไม่มีปรากฏเลย  แต่ก็ยังมี
ความหวังอย่างอื่น ไม่สิ้นสุดความหวังเลยสักอย่างเดียว  ไม่ว่าอะไรจะกระทบทางตา หู  จมูก  ลิ้น กาย
 ทางใจ ก็คิดถึงแต่สิ่งนั้นด้วยความหวัง  แต่ไม่เคยเห็นความหวัง และความหวังก็ไม่มีจบไม่มีสิ้นสุดเลย 
แล้วแต่ว่าจะหวังเรื่องอะไร

        เพราะฉะนั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงอย่างแน่นอน  เพราะเหตุว่าเพียงหวังแล้วได้  แล้วก็หวังต่อไปอีก  

จึงหวังอีกแล้วก็ได้อีก จะมีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้จักพอ แล้วก็ไม่ได้เข้าใจความจริงว่าขณะนั้น
เป็นอะไร  ไม่มีสิ่งอื่นเลย มีเพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏแต่ละทาง  ทางตาที่กำลังเห็น ถ้าเป็นความเห็นที่ถูกต้อง
 ขณะนั้นไม่มีอย่างอื่น  มีเพียงสิ่งที่เกิดให้เห็นกับเห็นเท่านั้นเอง  แล้วก็ดับไป  ในขณะที่เสียงปรากฏ 
 มีเสียงที่ปรากฏกับได้ยินที่ปรากฏ  แล้วก็ดับไป  แต่หวังอะไรจากสิ่งที่เพียงปรากฏ  เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
อยู่ตลอดเวลา  อย่างนี้จะเป็นความสุขที่แท้จริงได้มั้ย  ไม่มีการที่จะจบสิ้นความหวัง  ยิ่งหวังมากยิ่ง
เป็นทุกข์เพราะว่ามีความติดข้องด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ หลงเข้าใจว่า  สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ยั่งยืน 
ไม่เกิดไม่ดับ  เพราะไม่รู้ความจริงว่า แต่ละขณะจิต  จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ชีวิตก็เป็นอยู่ชั่วขณะ
หนึ่งที่จิตเกิดขึ้น

         ถ้าจิตนั้นดับแล้วไม่เกิดขึ้นอีก ไม่มีจิตอีกเลย ก็ไม่มีการที่จะเป็นเราหรือเป็นบุคคลอื่น  

การรู้ความจริงเช่นนี้ดีมั้ย...... ข้อสำคัญที่สุด  การรู้ความจริง   แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราจะถึงขั้นประจักษ์
แจ้งความจริง  เพียงแต่กำลังสะสมความเห็นถูก  ความเห็นจริง ๆ  ในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตายแต่ละขณะ  
ความจริงความเห็นถูก คือ อย่างไรและความไม่รู้เป็นอย่างไร  เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการได้ยินได้
ฟังพระธรรมเลย  ก็จะไม่รู้ ก็จะแสวงหาความสุขด้วยความหวัง  แต่ว่าไม่รู้ความจริงว่าหวังอะไร   
ในสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป  ทุกอย่างที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้เป็นอย่างนี้  เพราะฉะนั้นบางคนอาจ
จะบอกว่า ความสุขที่แท้จริงคือนิพพาน  ไกลมั้ยคะ  คืออะไรก็ไม่รู้.....ไม่รู้ว้าขณะนี้มีอะไรกำลังปรากฏ
  แล้วจะมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้อย่างไร  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า นิพพานคือความสุข

       นอกจากนั้นก็จะต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง  ที่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าใจว่าเป็นเรา  ไม่มีสิ่งใดที่ยั่งยืน

 ความจริงก็เป็นสิ่งที่มีจริง  แต่ไม่ยั่งยืน คิดดูเถิดว่าทุกสิ่งเมื่อแตกแยกย่อยออกไปแล้ว ก็เป็นธรรมะหนึ่ง  
เป็นสิ่งที่มีจริงที่หลากหลายต่างกันมาก  ตาก็ไม่ใช่หู  ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่คิด  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่ละอย่าง
 ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว  ก็ทำให้เข้าใจผิดคิดว่า  เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน  เพราะไม่รู้ความจริง

      เพราะฉะนั้นถ้าเป็นความสุขที่แท้จริง  ด้วยปัญญาที่สามารถจะเห็นความจริงว่า  ความสุขที่แท้จริงนั้น 

เมื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏ  จนสามารถประจักษ์แจ้งแล้วรู้ว่า  สิ่งที่มีจริงขณะนี้เกิด
ปรากฏแล้วก็หมดไป  สุขมั้ย....เพียงเกิดปรากฏว่ามี  สั้นมากชั่วคราวจริง ๆ   แล้วก็ดับไป  สุขจริง ๆ
 หรือไม่ ?   จะเป็นสุขจริง ๆ ไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้น  ความสุขที่แท้จริง  ก็จะต้องเริ่มจากความเห็น
ถูกเข้าใจถูกที่ทำให้ไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

แนะนำตัวครับผม

  ดิฉันชื่อ นิชา ศรีสุข

  อายุ 17  เกิดวันที่ 20 กันยายน 2539

 โรงเรียนตราดสรรเสริญวิทยาคม

  กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5